Tariff Tsunami: China Cargo Hits U.S. Ports Amid Trade Shock
Empty Shelves Ahead? Chinese Cargo Ships Arrive in U.S. Amid Tariff Turbulence
12 พ.ค. 68 l ศูนย์วิจัย AMCOL
I 7 เรือบรรทุก, 12,000 ตู้คอนเทนเนอร์, และกำแพงภาษีที่อาจเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์การค้า
รูป: จาก New York Post
เมื่อ “ภาษี 145%” กระทบโลก:
เรือสินค้าจีนถึงอเมริกากับบททดสอบใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลก
ภาพที่เปลี่ยนไป ณ ท่าเรือใหญ่ที่สุดในอเมริกา
เรือบรรทุกสินค้าจากจีนจำนวน 7 ลำ เพิ่งเทียบท่าที่ ท่าเรือลอสแอนเจลิส และ ลองบีช ซึ่งเป็นประตูหลักของการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ ภาพที่ดูเหมือน “กลับสู่ภาวะปกติ” กลับแฝงด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลก เมื่อสินค้ากว่า 12,000 ตู้คอนเทนเนอร์ที่มากับเรือเหล่านั้นต้องเผชิญกับ ภาษีนำเข้า 145% ตามนโยบายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนเมษายน
นี่ไม่ใช่ภาษีทั่วไป — แต่นี่คือสัญญาณของ การเผชิญหน้าครั้งใหม่ ระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ที่ไม่ได้กระทบเพียงอเมริกาและจีนเท่านั้น แต่กำลังสร้าง แรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานโลกทั้งระบบ
ค้าปลีกอเมริกาช็อก: ขายของแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป
การเดินทางมาถึงของเรือสินค้าเหล่านี้ นำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลต่อภาคค้าปลีกในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Ikea, Home Depot, Ralph Lauren หรือ Tractor Supply ต่างถูกบังคับให้รับภาระภาษีใหม่โดยไม่ทันตั้งตัว สินค้าทั้งหมดที่อยู่ในเรือยังคงมีต้นทุนเดิม — แต่เมื่อลงเรือแล้วต้องเสียภาษีเพิ่ม เท่าตัวหรือมากกว่า
Brian Bourke, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ SEKO Logistics ให้สัมภาษณ์ว่า
“ภาวะชั้นวางว่างเปล่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง”
ธุรกิจจำนวนมากไม่สามารถปรับราคาขายหน้าร้านให้สะท้อนต้นทุนใหม่ได้ทันที ส่งผลให้บางบริษัทเลือก หยุดคำสั่งซื้อชั่วคราว หรือ เปลี่ยนแผนจัดหา เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความผันผวนด้านภาษี
ขนส่งทางเรือ – ทางอากาศ หดตัวพร้อมกัน
แรงกระแทกไม่ได้จบแค่ปลายทางผู้บริโภค ตัวเลขจากท่าเรือและสายการบินขนส่งสะท้อนความปั่นป่วนที่ลึกกว่านั้น:
- ปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ท่าเรือลอสแอนเจลิสคาดว่าจะ ลดลง 30–35%
- การจองขนส่งสินค้าทางอากาศจากจีนไปสหรัฐฯ ลดลงกว่า 30% ภายในเดือนเดียว
แม้ผู้ส่งออกจีนบางรายเริ่มกลับมาจองพื้นที่ขนส่งอีกครั้งในปลายเดือนเมษายน ด้วยความหวังว่าทรัมป์อาจลดภาษีลงเหลือ 80% แต่ก็ยังเป็นเพียง ความหวังเชิงกลยุทธ์ มากกว่าความมั่นใจ
การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์: จุดเปลี่ยน หรือภาพลวงตา?
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Scott Bessent กำลังเตรียมเข้าหารือกับเจ้าหน้าที่จีนในสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีประเด็นหลักคือ การลดระดับความตึงเครียดทางการค้า แม้ทรัมป์จะเปรยว่าพร้อมลดภาษีนำเข้าจาก 145% เหลือ 80% แต่ก็ยังถือเป็นภาระหนักต่อธุรกิจ นโยบายแบบ “เจรจาภายใต้แรงกดดันสูง” นี้อาจใช้ได้ในระยะสั้น แต่อาจกัดกร่อนความไว้วางใจในระยะยาว
ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: ห่วงโซ่อุปทานโลกอยู่ตรงไหน?
สงครามการค้าเวอร์ชันใหม่นี้ ไม่เพียงแต่กดดันจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังบีบให้ ทุกประเทศในห่วงโซ่อุปทานโลกต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน บริษัทข้ามชาติกำลังเร่งกระจายฐานการผลิตออกนอกจีน (China+1 strategy) บางรายหันไปหาเวียดนาม อินเดีย หรือเม็กซิโก ในขณะที่บริษัทโลจิสติกส์เริ่มวางแผนเส้นทางใหม่ทั้งทางทะเลและทางอากาศ
มุมมองประเทศไทย: โอกาสในวิกฤต
ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในพายุนี้?
1.ฐานการผลิตสำรอง: หากการย้ายฐานผลิตจากจีนเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์ไฟฟ้า และอาหาร
2.โอกาสในโลจิสติกส์ภูมิภาค: ท่าเรือแหลมฉบังและสนามบินอู่ตะเภาอาจกลายเป็น hub การขนส่งระดับภูมิภาค หากบริษัทตะวันตกเลือกใช้เส้นทางอ้อมจีน
3.ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่: แต่หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรง การส่งออกของไทยก็อาจได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลง โดยเฉพาะในสินค้าอุตสาหกรรมที่ยังพึ่งพาจีนเป็นวัตถุดิบต้นทาง